บทความ Knowledges
วางแผนความสวย
นิยามความสวย “สวย...ไม่สวย” ไม่มีใครกำหนด
“Beauty is in the eye of the be holder” ความสวยหรือไม่สวยของคนหรือสิ่งใด ๆ อยู่ที่คนมอง (Beholder) เป็นคนตัดสินว่าสิ่งนั้น ๆ “สวย” หรือ “ไม่สวย” โดยมีพื้นฐานมาจากประสบการณ์ สภาพแวดล้อม รวมถึงการเลี้ยงดู ดังนั้นคนแต่ละคนจึงมองว่าสิ่งนี้ “สวยกว่า” สิ่งนั้น ซึ่งคนแต่ละคนอาจมองเห็นแตกต่างกันออกไป
สำหรับตัวหมอ หมอมองว่าเจ้าหญิงเกรซแห่งโมนาโก หรือ Grance Patricia Kelly คือความสวยที่สมบูรณ์แบบในสายตาของหมอและในสายตาของใครอีกหลาก ๆ คน
แต่ทั้งนี้ในสังคมที่แตกต่างออกไป ค่านิยมทางความงามก็ย่อมแตกต่างกันไปด้วย เช่น ชนเผ่ากะเหรี่ยงคอยาว จะถือว่าใครที่คอยิ่งยาวจะยิ่งสวย หรือหญิงชาวจีนโบราณ ที่ถือว่าใครยิ่งเท้าเล็ก ยิ่งดูสวย ดูผู้ดีมีฐานะแบบเป็นลูกคุณหนู ชาวจีนในสมัยก่อนจึงต้องเท้าของตนเองให้เล็กที่สุดเท่าที่จะทำได้
ความสวยจึงเป็นส่วนหนึ่งของความเชื่อ ซึ่งแตกต่างกันออกไปในแต่ละสภาพสังคม เริ่มต้นจากสายตาของคนมองเป็นผู้กำหนดว่าแบบนี้คือ “สวย” แล้วเกิดเป็นความเชื่อหรืออุปทานหมู่ของทุกคนในสังคมเดียวกันต่างมองว่าแบบนี้คือความสวย
เมื่อเวลาผ่านไป รสนิยม หรือความเชื่อทั้งหลายเกี่ยวกับความสวยก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไป อย่างเช่นแฟชั่น เสื้อผ้า การแต่งหน้า หรือทรงผม ก็ยังเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ทุกยุคสมัย
ความสวยจึงไม่ตายตัว แตกต่างกันในแต่ละสังคม โดยขึ้นอยู่กับสังคมนั้น ๆ และขึ้นอยู่กับคนในกลุ่มสังคมเป็นผู้กำหนดความสวยแถมความสวยยังเปลี่ยนแปลงไปตามสมัยได้อีก
จากวิจัยทางการแพทย์หลายฉบับที่เกี่ยวกับเรื่องความสวยบนใบหน้า จะพบว่าส่วนหนึ่งเรารู้จักความสวยกันมาตั้งแต่เกิด และอีกส่วนหนึ่งเรารู้จักความสวยจากการเรียนรู้ สมมติฐานที่ว่าคนเรารู้จักความสวยกันมาตั้งแต่เกิดนั้น ได้มีการทดสอบโดยให้กลุ่มเด็กอายุ 12-24 เดือน มองดูภาพคนหลากหลายเชื้อชาติที่เหล่าผู้ใหญ่ได้คัดเลือกแยกแยะไว้ให้เป็นกลุ่มคนสวยและไม่สวย ปรากฎว่าเด็กทารกที่ไม่เคยเรียนรู้เรื่องความสวยงามมาเลย ต่างจ้องมองภาพคนสวยนานกว่าภาพคนไม่สวย แสดงว่าคนเราจะบอกว่าคนไหนสวยหรือไม่สวยนั้นเราสามารถบอกได้และรู้จักความสวยตั้งแต่เกิดแล้ว
ดังนั้น ถ้าเราอยากรู้ว่าเราหน้าสวยรึเปล่า อาจลองยื่นหน้าให้ทารกอายุน้อยกว่า 2 ขวบดู ถ้าเด็กจ้องหน้าเรานาน น่าจะหมายความว่าเราเป็นคนหน้าตาดี ถ้าเด็กเบือนหน้าหนีแล้วร้องไห้ ก็คงความหมายตรงกันข้าม เพราะเด็กเล็ก ๆ ยังโกหกไม่เป็นค่ะ
ส่วนความสวยที่เกิดจากการเรียนรู้คือ การรับรู้ผ่านกลุ่มสังคม สภาพแวดล้อม แล้วสร้างเป็นความเชื่อหรือค่านิยมในกลุ่มสังคมเดียวกัน เช่น คนไทยและคนเอเซียส่วนใหญ่เชื่อว่า ความสวยคือผิวขาว หน้าเล็กเรียวรูปไข่ในขณะที่ฝรั่งผิวขาวกลับนิยมผิวแทน ใบหน้าที่มีโหนกแก้มสูง และกรามใหญ่ เมื่อคนผิวขาวออร่าแสนสวนของชาวเอเซียไปอยู่ในกลุ่มคนอเมริกันหรือในยุโรป กลับถูกมองว่าธรรมดา ไม่สะดุดตา
การรับรู้ความสวยนั้นเปลี่ยนได้ ความสวยถูกเพิ่มเติมหรือดัดแปลงแก้ไขได้ คนหลายคนโชคดีที่เกิดมาพร้อมกับความสวยแบบธรรมชาติ แต่สำหรับใครอีกหลายคนที่ไม่ได้เกิดมาพร้อมรูปสมบัติ แต่หากรู้จักแต่งแต้มแก้ไขข้อบกพร่องก็สามารถทำให้เกิดความน่ามองได้ไม่ยาก
แม่พิมพ์ความสวย ไม่ได้มาจากหน้าของใครคนใดคนหนึ่ง แต่ต้องมาจากใบหน้าของคนหลาย ๆ คนรวมกัน หมอขอยกการศึกษาเรื่องแม่พิมพ์ความสวยที่น่าสนใจอันหนึ่ง ซึ่งเป็นงานวิจัยที่นำรูปของผู้เข้าประกวด Miss Universe 2005 ที่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายมาแบ่งกลุ่มตามกลุ่มของทวีปแล้วนำเข้าโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เพื่อรวมรูปของคนหลาย ๆ คน ให้เป็นรูปของคน ๆ เดียว
ผลลัพธ์ที่ได้คือเมื่อนำรูปคนสวยจากแต่ละทวีปมารวมกัน จนเหลือทวีปละคน จะได้คนที่หน้าตาดูคล้ายคลึงกันมาก ถึงมาจากต่างทวีปกันก็ตาม ทำให้มีคนเชื่อว่า หน้าตาพิมพ์นี้เป็นรูปแบบเฉพาะของนางงาม เพราะนางงามทุกคนจะต้องผ่านสายตาคณะกรรมการมากมาย กว่าจะเข้าสู่รอบสุดท้าย ถือเป็นการการันตีระดับหนึ่งแล้วว่า หน้าแบบนี้คือสวย เป็นไปได้ว่าคนทั่วโลกอาจมีการรับรู้และรู้จักความสวยที่ใกล้เคียงกัน หน้าตาของนางงามทุกชาติจึงดูใกล้เคียงกันไปหมด
ยังมีงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งที่ได้ทดลองนำรูปคนหน้าตาหลากหลายมารวมกันโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ผลวิจัยพบว่า ถ้าเอาภาพคน 2 คนมารวมกัน จะได้ภาพคนใหม่ที่หน้าตาดีกว่าภาพของคน ๆ เดียว ถ้าเรานำภาพ 3 คนมารวมกัน จะทำให้ได้คนที่หน้าตาดีกว่าภาพที่ได้จากการรวมกันของ 2 คน และยิ่งนำภาพมารวมกันมากเท่าไร ผลที่ออกมาก็จะได้ภาพของคนที่สวยเพิ่มขึ้นไปตามด้วย แสดงว่าความสวยที่เรายอมรับหรือคนที่เรามองแล้วรู้สึกว่าสวยนั้นในความเป็นจริงแล้ว คือใบหน้าที่เป็นผลรวมของคนหมู่มาก ซึ่งเวลาเอาภาพคนหลาย ๆ คนมาซ้อนกัน จะทำให้ได้ภาพของคนที่มีลักษณะเฉลี่ย ๆ กันออกไปมากขึ้น หรือได้ใบหน้าธรรมดาที่มีลักษณะกลาง ๆ ไม่เด่นไปทางด้านใดด้านหนึ่ง
ดังนั้นเมื่อหมอลองมาวิเคราะห์ดูอย่างละเอียด ว่าทำไมผลรวมของรูปภาพผู้หญิงหลาย ๆ คน จึงทำให้เกิดความสวยขึ้นมาได้ น่าจะมาจากการรับรู้ความสวยที่กำหนดว่า อะไรที่อยู่กลาง ๆ ไม่มากหรือไม่น้อยเกินไป คือ ความสวย ฉะนั้นเกณฑ์อันหนึ่งของความสวย จึงเป็นค่าเฉลี่ยโดยรวมของทั้งใบหน้า ยิ่งค่าเฉลี่ยของลักษณะทุกอย่างอยู่ในระดับปานกลางแบบนั้นจึงเรียกว่า “สวย” ดังนั้นใครที่กำลังคิดว่าตัวเองหน้าตาปานกลาง ไม่มีอะไรโดดเด่น ก็อย่าเพิ่งคิดว่าตัวเองไม่สวยนะคะ บางทีความไม่โดดเด่นไปด้านใดด้านหนึ่ง อาจกลายเป็นความพอดีของความสวยไปได้เช่นกัน